วันพฤหัสบดีที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2556

ฤกษ์แต่งงาน ปี 2013 หรือ พ.ศ.2556

     ตามขนบธรรมเนียมประเพณีการแต่งงาน จะต้องมีการนำดวงของบ่าวสาว ไปให้พระ หรือหมอดูที่มีความเชี่ยวชาญในการดูฤกษ์ยามให้เพื่อให้ครอบครับอยู่กันอย่างมีความสุข มีความเจริญ แต่เนื่องจากปัจจุบัน ความไม่สะดวกสบายในการเลือกวันตามฤกษ์ก็มีมากขึ้นเช่น บ่าวสาวทำงานไกลจากที่แต่งไม่สามารถลางานหลายวันได้  พี่ๆ น้องๆ เพื่อนๆ ไม่สะดวกจะมาในวันทำงาน ฤกษ์ยามในปัจจุบันส่วนหนึ่งเลยนิยมฤกษ์ที่เราเรียกว่า ฤกษ์สะดวกครับ ซึ่งอาจดูได้ตามปฏิทินที่มีการลงวันฤกษ์ดีต่างๆ เอาไว้แล้วปรึกษากันแล้วเลือกเอาเลย  ส่วนการครองชีวิตคู่นั้นจะอยู่กันยืดยาวหรือไม่คงต้องอยู่ที่คู่บ่าวสาวครับ ที่รู้จักปรับตัวเข้าหากัีนมากกว่า หนักเอาเบาสู้ รู้จักให้อภัย เห็นอกเห็นใจกัน อย่าเห็นแก่ตัว ยึดมั่นความกตัญญู หลักๆ นี้ก็จะทำให้ครอบครัวร่มเย็นแล้วครับ  ทางพี่จูตากล้องโคราชเลยนำวันฤกษ์ดีมาให้เลือกกันครับ ส่วนผู้ใดจะให้พระหรือหมอดู ดูให้ก็ไม่ผิดนะครับ แล้วแต่สะดวก

เดือนมีนาคม วันเสาร์ที่ 16 มีนาคม 2556
                  วันศุกร์ที่ 22 มีนาคม 2556
                  วันศุกร์ที่ 29 มีนาคม 2556


เดือนเมษายน  วันศุกร์ที่  5 เมษายน 2556
                   
วันเสาร์ที่ 6 เมษายน 2556

เดือนพฤษภาคม วันอาทิตย์ที่ 12 พฤษภาคม 2556
                     
วันพฤหัสบดีที่ 16 พฤษภาคม 2556
                      วันอาทิตย์ที่ 19 พฤษภาคม 2556

เดือนมิถุนายน วันจันทร์ที่ 3 มิถุนายน2556
                   วันพฤหัสบดี 6
มิถุนายน 2556
                   วันเสาร์ที่ 8
มิถุนายน 2556

เดือนกรกฎาคม วันเสาร์ที่ 13 กรกฎาคม 2556
                    วันศุกร์ที่ 19 มีนาคม 2556
                    วันอาทิตย์ที่ 21 มีนาคม 2556


เดือนสิงหาคม วันอาทิตย์ที่ 4 สิงหาคม 2556
                   วันศุกร์ที่ 9
สิงหาคม 2556
                   วันอาทิตย์ที่ 11
สิงหาคม 2556
                   วันจันทร์ที่ 26 สิงหาคม 2556

เดือนกันยายน วันอาทิตย์ที่ 8 กันยายน 2556
                  
วันอาทิตย์ที่ 15 กันยายน 2556

เดือนตุลาคม  ไม่มีฤกษ์แต่งงาน

เดือนพฤศจิกายน วันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายน 2556
                       วันอาทิตย์ที่ 10 มีนาคม 2556
                      
วันอาทิตย์ที่ 17 มีนาคม 2556
                       วันเสาร์ที่ 23 มีนาคม 2556
 
เดือนธันวาคม ไม่มีฤกษ์แต่งงาน

เรามีบริการถ่ายภาพ ถ่ายวีดีโอ แต่งหน้าทำผม ทำพรีเซนเทชั่นวันงาน และอีกมากมาย พร้อมอุปกรณ์ไฟสตูดิโอ และไฟต่อเนื่อง ที่ใช้ในงานเพื่อความเหมาะสมของแต่ละงาน
จองก่อนงานหลายเดือนมีส่วนลดพิเศษให้ด้วยครับ
ให้   add facebook ชื่อ ปรีชา จรัสวิศิษฎ์รังษี
กดไลน์ที่  fanpage  ชื่อ  ตากล้องโคราช และ ตุ๊กตาเมคอัพ
ชมผลงานได้ที่ เฟสบุ๊ก  หรือที่เว็บไซค์  http:\\www.taklontkorat.com
ส่งเมล์เพื่อรับรายละเอียดงานและราคาได้ที่ taklongkorat@gmail.com
โดยให้ส่งเมล์วันที่จัดงาน  สถานที่จัดงาน  จำนวนโต๊ะโดยประมาณ เพื่อจะได้คำนวณราคาให้ครับ

นอกจากนี้ยังมีเว็บบล็อกให้ความรู้กับท่านเรื่องกล้อง งานแต่งงาน การถ่ายภาพ การแต่งหน้าที่
http://taklongkorat.blogspot.com/

ติดต่อโดยตรงเบอร์โทร 085-4974887  พี่จูตากล้องโคราช 
                                    080-4741919  พี่ตุ๊กตาเมคอัพ      ยินดีต้อนรับทุกท่านครับ





วันอาทิตย์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2556

อยู่บนรถทัวร์แดดส่องถ่ายอะไรดี เล่นกับแสงริมหน้าต่างรถซะเลยครับ

    ระหว่างเดินทางไป แม่สาย ท่าขี้เหล็ก นั่งรถก็ประมาณเกือบครึ่งชั่วโมง วิวก็ดูไม่ได้ แดดส่องด้านที่นั่งพอดี เลยให้แฟนรูดม่านมาครึ่งนึงดูปรากฎว่า  แสงที่ผ่านม่านกรองมาบางส่วนและจากส่วนที่ม่านไม่ได้ปิดรวมกันได้แสงที่สวยพอดีครับ แต่ถ่ายเอาด้านนอกไม่ได้นะครับ ภาพจะโอเวอร์ไปเลย  ภาพนี้ใช้ หน้ากล้องกว้างๆ ครับ เกือบสุดที่ความสามารถกล้องมี ดัน iso ไปประมาณ 400 เพื่อให้แสงออกมาพอดีครับ ไม่ได้ใช้แฟลชช่วยครับ  ก็จะได้หน้าสวยๆ ไบร์ทๆ ครับใครลองเอาไปใช้ดูนะครับ ช่วงเดินทางแก้เบื่อกันไปครับ ส่วนใครเก่งก็เอาไปแต่งต่อไปโปรแกรมต่างๆ ได้อีกพวกโปรแกรมแต่งภาพเช่น lightroom หรือ โฟโต้ชอฟ เช่น ภาพด้านล่างครับ

ทัวร์ (ดม) ชม วันที่ 1 เชียงราย สวนเม่ฟ้าหลวง พระตำหนักตอยตุง แม่สาย ตลาดขี้เหล็ก ตอนที่ 1

    เริ่มออกเดินทางครับ จากปากช่องโคราช ด้วยชาวทัวร์ประมาณ 3 คันรถบัส เวลาประมาณ 18.30 น. ระหว่างเดินทาง ก็มีการแวะเข้าห้องน้ำตามปั้มเป็นระยะ มีแจกอาหารกล่องให้ประมาณ 19.30 น. ส่วนมากก็จะหลับไปครับ ส่วนที่ไม่หลับไม่นอนก็ลงไปชั้นล่างครับ (รถทัวร์มีสองชั้น) ก็มีกิจกรรมกันตลอดเส้นทาง ซึ่งคิดว่าทัวร์ส่วนมากก็จะเป็นประมาณนี้ เนื่องด้วยระยะทางยาวไกลเกือบ 800 กม.
   ก็เดินทางกันไปถึงที่พัก ปุณยมันตรา รีสอร์ทเชิงดอยตุง เวลาประมาณ 10.00 น. (เสียเวลาเนื่องจากมีรถบัสในคณะมีการเสียระหว่างทางครับ) วันนั้นทานอาหารเช้ากันแบบอร่อยที่สุดเพราะไม่มีอะไรตกท้องมาตั้งนาน เลยแนะนำไว้ว่า เวลารถแวะตามปั้มมีร้านสะดวกซื้อต่างๆ ตุนอาหารหนักไว้สักชุดกันเกิดกรณีแบบนี้ ผมก็ได้พวกบะหมี่ตามปั้ม (แบบถ้วยสำเร็จ) ช่วยไว้ได้ อิอิ
   ทานอาหารเช้าที่รีสอร์ทเค้าเรียกว่าแบบ ABF (American Breakfast) อาหารเช้าแบบอเมริกัน ก็ประมาณพวกเบคอน แฮม ขนมปัง นม น้ำส้ม ครับ แต่ที่นี้มีอร่อยอีกอย่างคือ ข้าวต้มเครื่องครับ ผมว่ามันอยู่ท้องดีเพราะเราต้องไปขึ้นดอยกันเดี๋ยวจะหมดแรงซะก่อน
        หลังจากทานอาหารแล้วทำธุระส่วนตัวเก็บของต่างๆ เข้าห้องพักเรียบร้อย ก็มุ่งหน้าสู่ดอยแม่ฟ้าหลวงเลยครับ จะมีรถประจำทาง(สองแถว) นั่งได้คันละ 10 คน ครับ มารับที่หน้ารีสอร์ทเลย มากับทัวร์ก็สะดวกดีครับไม่ต้องไปคิดเรื่องสถานที่และการเดินทางต่างๆ เค้าจะจัดให้เราหมดสำคัญอย่างเดียวคือรักษาเวลาครับ เพราะถ้าคุณมาช้าไปคนหนึ่ง คนอีกทั้งคณะก็รอกันครับ
      ก็ขึ้นรถกันไปครับ เส้นทางคดเคี้ยว สูงชัน รถประจำทางก็ขับไปด้วยความเชี่ยวชาญและชำนาญครับ แนะนำว่าไปกับชาวบ้านเค้าเถิดครับปลอดภัยดี ถึงจะดูหวาดเสียวไปบ้าง เหมือนเล่นรถไฟเหาะน้อยๆ คนที่จะเมารถกรุณาเตรียมถุงอ๊วกหรือกินยาก่อนขึ้นรถครึ่งชั่วโมงนะครับ ช่วยได้เยอะจะได้ไม่เป็นภาระคนอื่นแล้วตัวเองก็ยังไม่สนุกด้วย พวกยาแก้เมารถส่วนมากทัวร์เค้าจะมีครับขอเค้าได้ แต่ถ้ายาแก้เมาเหล้านี่ไม่มีนะครับ จักซี่มันต้องถอน แต่สำหรับคนที่เมาสุราต่างๆ แนะนำว่าอย่าไปเลยครับ หาที่นั่งดริ๊งส์ของท่านต่อเถอะครับ เพราะทัวร์แบบนี้นอกจากที่ท่านเมาเหล้าอยู่แล้ว จะเจอเมารถ แล้วเมาแดด เผลอๆ เมาเพราะโดนเพื่อนๆ ด่าอีกต่างหาก ถ้าจะกินแนะนำเที่ยวเสร็จรอบเย็นกำลังดีครับ
     พอรถถึงดอยแม่ฟ้าหลวง ก็จะจอดให้เราเดินลงไปในส่วนของการซื้อตั๋วเพื่อเข้าชมครับ มีที่ให้เลือกตามภาพเลยครับ
       
 โดยผมแนะนำว่า เฉพาะในโครงการพัฒนาดอยตุง เนี่ยก็ใช้เวลาทั้งวันแล้วครับ ถ้าจะเที่ยวแบบให้ครบกันจริง ส่วนครั้งนี้เรามาเราได้เที่ยวกันสองแห่งครับ คือ พระตำหนักดอยตุงและสวนแม่ฟ้าหลวงครับ
โดยสังเกตด้านซ้ายจะเป็นที่ๆ เราเข้าไปซื้อบัตรครับ ด้านขวามาที่เป็นอาคาร จำหน่วยสินค้าต่างๆ และมีห้องน้ำอยู่ด้านล่างมีทางเดินลงไปข้างๆครับ แนะนำว่า เข้าห้องน้ำห้องท่าให้เรียบร้อย ครับ เพราะต้องเดินอีกไกลพอหอบหนึ่งครับ ไปปวดด้านบนไม่มีห้องน้ำนะครับ เพราะที่เราไปดูเป็นส่วนของพระตำหนักดอยตุงของสมเด็จย่าฯครับ 

หลังจากนั้นคณะทัวร์เค้าจะแจกบัตรให้ 2 ใบ ครับ ใบหนี่งไป ชมพระตำหนักดอยตุง และอีกใบไปชมสวนแม่ฟ้าหลวง เอาละครับไปกันเลยครับผมเลือกไปชมดอยตุงก่อน

        ส่วนของตุงที่แขวนต้อนรับนักท่องเที่ยวทางด้านหน้าทางเข้าครับ เราต้องเดินผ่านจุดนี้เพื่อจะขึ้นไปพระตำหนัก ก็ต้องเดินกันขึ้นดอยนิดหน่อยตามถนนลาดยาง ชมธรรมชาติความสวยงามของธรรมชาติไปพลางครับ พอดีช่วงที่ไปเป็นช่วงที่อากาศร้อนแล้วก็มีฟ้าหลั่วๆ สลับกับแดดเป็นช่วงๆ  เลยทำให้ไม่ร้อนมากแต่ถ้าใครพกร่มมาด้วยก็จะดีครับ หรือถ้ามีหมวกกับแว่นกันแดดสักอันก็แหล่มเลย พอดีแฟนสุดที่รักของผมจัดมาให้หมดเรียบร้อย แล้วยังแถมผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กคล้องคอไปอีกหนึ่ง เพราะเป็นคนขี้ร้อนเหงื่อยเยอะครับ 

      เดินมาสักหน่อยก็ถึงที่เค้าเก็บบัตร ซึ่งจะแจ้งให้ทราบว่า บนพระตำหนักไม่มีห้องน้ำบริการ

  และในส่วนของผู้ที่ใส่กระโปรงสั้น ขาสั้น ซึ่งแลดูไม่สุภาพนักก็จะมีกางเกงให้เปลี่ยนครับ เที่ยวแบบนี้อีกอย่างที่ต้องใส่ไปก็รองเท้าที่เดินสบายไม่กัดเท้าครับ ผ้าใบจะลุยดีที่สุด แต่บางท่านอยากสวยหล่อ อาจเป็นแบบอื่นก็ได้แล้วแต่ถนัด แต่ขอให้ใส่แล้วเดินสบายแล้วกันครับ (เพราะส่วนใหญ่ ทัวร์ เราก็อยู่บนรถอยู่แล้ว)
  เดินมาตามทางเรื่อยๆ ก็จะถึงด้านหน้าของพระตำหนักครับ ให้เราไปรับอุปกรณ์ไกด์แบบอัติโนมัติกับ จนท. ที่ด้านทางเข้าพระตำหนักเลยครับ แล้วเค้าจะให้เรากดตามหมายเลขเมื่อเราไปถึงที่นั้นๆ ผมว่าเป็นอะไรที่ทำให้เพลิดเพลินและให้ความรู้มากๆ เลยครับ จะอธิบายทุกอย่างเกี่ยวกับสมเด็จย่าฯ ของปวงชนชาวไทย ท่านจะได้ความรู้กลับไปใช้ได้หลากหลายอย่างเลยครับ พอดีไม่มีการให้ถ่ายภาพเลยไม่ได้สามารถบันทึกมาได้ แต่เป็นอีกหนึ่งความประทับใจและภาคภูมิใจของคนไทยโดยแท้ครับ แนะนำให้มาเที่ยวชมกันให้ได้ครับ (ส่วนข้างในมีอะไรขออุ๊บไว้ ให้มาชมกันเองครับ)
  หลังจากเที่ยวชมด้านในของพระตำหนักแล้ว ท่านสามารถมาเก็บภาพความสวยงามของด้านหน้าได้ครับ มีสวนที่สวยงามครับ
ด้านบนเป็นแผนที่ดอยตุงครับ  จะเห็นว่าเราได้เดินออกจากพระตำหนักเพื่อไปสถานที่ต่อไปครับ คือสวนแม่ฟ้าหลวงซึ่งอยู่แถวๆ ที่เราลงรถนะแหล่ะครับ แต่ต้องเดินลงไปด้านล่างหน่อยหนึ่งครับ
 ซึ่งสำหรับช่างภาพ แนะนำเลยนะครับว่า สวนสวยมากมีมากมายหลายมุม แต่อาจต้องรอจังหวะหน่อย เพราะนักท่องเที่ยวก็มากเหมือนกัน สภาพถ่ายเพื่อการท่องเที่ยวก็เลยต้องปล่อยเลยตามเลย มีนักท่องเที่ยวอื่นๆ ติดมาบ้างครับ   การถ่ายภาพที่นี้แสงจะสวยตอนที่เป็นส่วนของทางลงกับส่วนที่มีต้นไม้ใหญ่บังแสงครับ จะมีแสงนุ่มๆ เข้ามาบางก็ให้พยายามหามุมถ่ายตามแสงเอาครับ  ส่วนที่ต้องการย้อนแสงจริงๆ ก็แนะนำให้ยิงแฟลชไปเปิดหน้าแบบด้วยครับ ไม่งั้นมืดตึ๋บ แน่น เพราะแดดที่นี่แรงครับ แล้วช่วงเวลาที่ผมมาก็ประมาณเกือบเที่ยงไปแล้ว เดี๋ยวจะแยกคุยเรื่องการถ่ายภาพกลางแดดกันอีกทีครับ
หลังจากเดินลงไปด้านล่างสักระยะหนึ่งผ่าน บรรดาพันธ์ไม้สวยงามต่างๆ ก็จะถึงลานโล่งตรงกลางมีปฏิมากรรมเป็นรูปเด็กต่อตัวกันครับ



ในภาพมองไปด้านขวาบน จะเห็นพระตำหนักอยู่เยื้องอยู่ครับ ด้านล่างก็เป็นสวนแม่ฟ้าหลวงอีกมุมหนึ่งครับ
บอกได้คำเดียวว่าสวยมากครับ แต่เนื่องด้วยเวลาไม่พอ เราเลยเดินกลับไปเพื่อเตรียมขึ้นรถสองแถวกลับไปที่พักเพื่อทานข้าวเที่ยง (แต่เวลาประมาณ 14.00 น.ได้) ระหว่างรอก็ได้มีกาดดอยตุงอยู่ใกล้เลยแวะเข้าไปดูของหน่อยครับ ก็มีผักผลไม้สดตามฤดูกาลของชาวบ้านชาวเขามาขาย และพวกงานฝีมือครับ  ก็ลองเลือกดูกันครับ แต่อย่าเพลินจนตกรถนะครับ ชาวทัวร์
เดี๋ยวลงจากดอยเราจะไป แม่สาย ท่าขี้เหล็กกัน ติดตามตอนต่อไปนะครับ

วันจันทร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2556

วิธีเลือกช่างภาพงานแต่งงาน ให้เหมาะสม และคุ้มค่าที่สุดสำหรับคุณ

จากประสบการณ์การถ่ายภาพงานแต่งงานมาหลายสิบงาน ทำให้ผมได้พบ บ่าวสาว , เพื่อน , ญาติ ฯลฯ ของบ่าวสาวที่เล่าประสบการณ์ถ่ายภาพงานแต่งงานของตัวเองมาหลายๆ ท่านในมุมมองของเจ้าภาพ แล้วก็เลยนำมาประมวลสรุปให้ พี่ๆ น้องๆ เราได้ฟังกัน บวกกับความเห็นส่วนตัวอีกหลายอย่างในมุมมองของช่างภาพ ซึ่งจะทำให้มีข้อมูลไปใช้เลือกให้ได้ดีขึ้นครับ เพราะส่วนมากก็จ้างกันครั้งเดียวเท่านั้น อิอิ หรือว่าใครมีหลายครั้งหนอ
1. เลือกช่างภาพที่ตนเองชอบสไตร์การถ่ายภาพ ข้อนี้เป็นปัญหามาก เพราะต้องดูผลงานก่อนๆ ของตัวช่างเอง  และช่างบางท่านจะลงแต่สไตร์แต่งภาพ แต่เวลาส่งงานจริงแต่งบ้าง ไม่แต่งบ้าง ต้องคุยรายละเอียดกันเองครับ ว่าตกลงจะส่งภาพให้อย่างไร แต่งให้กี่ภาพ แล้วที่สำคัญถ่ายเองหรือไม่หรือว่ามีแคนดิดช่วย ช่างภาพบางส่วนทำงานเป็นทีมครับ ไม่ได้ทำคนเดียว คือต้องคุยให้แน่่ว่าตัวจริงหรือไม่ โดยเฉพาะตามร้านเวดดิ้งที่เป็นอัลบั้มให้ชมบางครั้งเป็นอัลบั้มเดียวกันเกือบทุกร้าน แล้วแต่ละร้านเวดดิ้งบางครั้งจะจ้างช่างที่เป็นฟรีแลนซ์มาถ่ายให้ ทำให้ผลงานขึ้นกับช่างที่มาถ่ายให้ครับ เพียงแต่ช่างไม่ได้แสดงตัวใช้ชื่อของทางร้านเป็นเจ้าของงานถ่ายนั้นๆ ไป  ส่วนอัลบั้มที่เหมือนกันเพราะเป็นอัลบั้มตัวอย่างที่ส่งมาให้กับทางร้านเวดดิ้งที่ส่งงานให้กับทางบริษัทที่รับทำอัลบั้มครับ ภาพจึงเหมือนกัีน ฉะนั้นต้องเลือกสไตร์ที่ชอบและได้ช่างตัวจริงก่อนครับ
2. ช่างคนเดียว (ตากล้องหลัก) หรืออยากได้แบบเป็นทีม (มีช่างแคนดิดด้วย) โดยปกติงานหนึ่งงานถ้าไม่ใหญ่นักแขกประมาณ 10-30 โต๊ะ ช่างภาพคนเดียวที่เป็นช่างภาพหลักก็พอไหวครับ  แต่งานตั้งแต่ 50 โต๊ะขึ้นไป ควรได้ช่างแบบเป็นทีมที่มีคนไว้คอยแคนดิด หรือแอบถ่ายและเก็บบรรยากาศอื่นๆในงาน เพราะช่างภาพหลักจะไม่สามารถปลีกตัวมาเก็บภาพพวกนี้ได้เนื่องจากส่วนมากจะต้องอยู่กับบ่าวสาวเพื่อไม่ให้พลาดช็อทสำคัญ  ซึ่งจะบอกเลยว่าภาพของช่างแคนดิิด ส่วนมากแล้วจะดูสวยและมีเสน่ห์กว่าช่างภาพหลักครับ เพราะจะเป็นการถ่ายจากเลนส์ที่เป็นลักษณะเทเลซูมหรือเลนส์ที่มีระยะเก็บภาพจากที่ไกลๆ ทำให้ตัวแบบไม่รู้ตัว ภาพที่ออกมาจึงเป็นธรรมชาติกว่า ส่วนช่างภาพหลักส่วนมาก็จะเก็บภาพในลักษณะพิธีการคือจะชัดไปทั้งหมด และเน้นให้เห็นบรรยากาศรอบๆ ครบ
3. อุปกรณ์่ต่างๆ เช่น กล้อง เลนส์ แฟลชแยก ไฟสตูดิโอ ไฟส่องสว่างต่อเนื่อง ระบบไวเลสแฟลช ความมาตรฐานของระบบสายไฟต่างๆ  อันนี้คือต้องมีความพร้อมในการทำงานและมีการสำรองอุปกรณ์ไว้ครบครันครับ เพราะงานแต่งเป็นงานที่พลาดไม่ได้ครับ บางคนมีแต่กล้องและ้ก็แฟลชติดหัวกล้อง เลนส์ซูมเข้าออกตัวเดียว ภาพออกมามันจะเหมือนๆ กันครับ และภาพจะดูแบนไม่มีมิติ ต้องมีการจัดแสงบางสถานะการณ์ เช่น พิธีหมั้น ส่วนมากจัดในบ้านซึ่งอาจจะมืดแสงนีออนไม่พอหรอกครับ อาจต้องจัดไฟต่อเนื่อง เพิ่ม 2-4 ชุด  ระบบสายไฟก็ต้องมาตรฐานครับ ไม่ใช่ใช้แบบลากสาย 39-69 บาท มันร้อนแล้วไหม้ หรือว่าอาจชำรุดง่า่ยๆ ต้องเป็นสายไฟเฉพาะที่สามารถทนไฟแลทนร้อนได้ดีครับ ซึ่งสำคัญที่สุดคือความปลอดภัยครับ ไฟสตูดิโอเวลาถ่ายหน้างานจะช่วยได้มากทำให้ผิวเนียนสวยใสซึ่งผมว่าเจ้าสาวทุกคนอยากได้แน่ๆ  และแฟลชแยกไวเลสบางครั้งใช้ในการยิงทำแสงริมไลน์หรือแนวแสงต่างๆ เพื่อให้ภาพมีความแปลกและสวยกว่าปกติอันนี้แล้วแต่เทคนิคของช่างครับ
4. ช่างแต่งหน้าทำผมบ่าวสาว งานแต่งช่างแต่งหน้าทำผมมีความสำคัญไม่น้อยกว่าช่างถ่ายภาพเลยครับ แต่งหน้าไม่ดี ไม่เนียน แต่งแล้วหน้าลอย และอื่นๆ มาจากช่างแต่งหน้าเป็นอันดับแรกครับ ช่างแต่งหน้าเหมือนศิลปินที่ทำงานศิลปะบนใบหน้าครับ แล้วต้องมีความรู้เรื่องไฮไลน์ เชดดิ้ง สีสัีน การเข้ากันของชุดและทรงผม  เช่น ชุดไทยต้องแต่งหน้าทำผมอย่างไร ชุดราตรีต้องแต่งหน้าทำผมอย่างไร สำคัญอีกอย่างคือ เครื่องสำอาง เพราะปัจจุบันผิวคนจะแพ้ง่ายๆ ฉะนั้นต้องใช้ยี่ห้อที่ดี มีแบรนด์ และสำคัญผ่าย อย. จะดีที่สุด เครื่องสำอางไม่ดีนอกจากจะหลุดลอกได้ง่ายแล้ว ยังเปลี่ยนสีเมื่อผิวของคนมีเหงื่อทำให้หน้าดำ หน้าเขียวได้ ครับ
5. ราคา สุดท้ายที่ต้องพิจารณากันก็คือเรื่องราคาครับ คนส่วนมากเมื่อสอบถามเรื่องการถ่ายภาพและแต่งหน้าจะคุยเรื่องราคาเป็นเรื่องแรกโดยไม่ใส่ใจในรายละเอียดของผลงานของช่างภาพครับ คงคิดว่าใครๆ ก็ถ่ายได้เหมือนกัน บอกเลยครับ ว่าถ้าคุณขาดข้อใดข้อหนึ่งด้านบน ผลงานไม่เหมือนกันแน่ครับ ง่ายๆ แค่ ไฟสตูหน้างานมี  กับไม่มีไฟสตูหน้างาน ถ่ายออกมาภาพไม่เหมือนกันแน่ครับ  แล้วงานแต่งงานๆ หนึ่งมีค่าใช้จ่ายไม่ว่าจะเป็นค่าโต๊ะจีน สถานที่ ค่าตัดชุด ค่าแต่งตัว ฯลฯ สุดท้ายถ้าคุณไม่ได้ช่างภาพที่ดี มีความเป็นมืออาชีพ พร้อมอุปกรณ์ครบครัน ที่คุณลงทุนมาทั้งหมดมีค่าแค่ 0 ครับ เพราะไม่มีภาพสวยๆ เหมือนที่ต้องการในใจไว้ในอนาคตอีก 10-20 ปี ที่ลูกหลานจะกลับมาดู ผมเคยดูภาพคุณพ่อคุณแม่ผมแต่งงานถ่ายเมื่อเกือบ 40 กว่าปีที่แล้ว แม้จะเป็นภาพขาวดำและกล้องฟิลม์ แต่ดูได้เลยว่าคนถ่ายมีฝีมือ และมีคุณภาพของภาพสมกับเมื่อ 40 กว่าปีที่แล้ว มาดูในปัจจุบันยังคงความงดงามและคลาสสิกเพราะมีทั้งแสงเงาที่ดี และความคมชัดสูงครับ  ฉะนั้นเมื่อคุณลงทุนไปมากมาย กับช่างภาพมืออาชีพที่ผมว่าราคาคงไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ของค่าใช้จ่ายในงานผมว่าคุ้มค่านะครับ เพราะสุดท้ายที่คุณเก็บไว้ดูก็คือภาพถ่ายสวยงามครับ แต่ถ้าคุณจ้างช่างภาพราคาถูกสุดๆ คงต้องไปถามเค้าด้วยว่าจะได้ภาพและผลงานอย่างใจคุณคิดหรือเปล่าครับ การถ่ายภาพงานแต่งไม่ใข่อะไรที่ต้องลองผิดลองถูกนะครับ เอาครั้งเดียวให้ชัวร์ไปเลย 


เรามีบริการถ่ายภาพ ถ่ายวีดีโอ แต่งหน้าทำผม ทำพรีเซนเทชั่นวันงาน และอีกมากมาย พร้อมอุปกรณ์ไฟสตูดิโอ และไฟต่อเนื่อง ที่ใช้ในงานเพื่อความเหมาะสมของแต่ละงาน
จองก่อนงานหลายเดือนมีส่วนลดพิเศษให้ด้วยครับ
ให้   add facebook ชื่อ ปรีชา จรัสวิศิษฎ์รังษี
กดไลน์ที่  fanpage  ชื่อ  ตากล้องโคราช และ ตุ๊กตาเมคอัพ
ชมผลงานได้ที่ เฟสบุ๊ก  หรือที่เว็บไซค์  http:\\www.taklontkorat.com
ส่งเมล์เพื่อรับรายละเอียดงานและราคาได้ที่ taklongkorat@gmail.com
โดยให้ส่งเมล์วันที่จัดงาน  สถานที่จัดงาน  จำนวนโต๊ะโดยประมาณ เพื่อจะได้คำนวณราคาให้ครับ

นอกจากนี้ยังมีเว็บบล็อกให้ความรู้กับท่านเรื่องกล้อง งานแต่งงาน การถ่ายภาพ การแต่งหน้าที่
http://taklongkorat.blogspot.com/

ติดต่อโดยตรงเบอร์โทร 085-4974887  พี่จูตากล้องโคราช 
                                    080-4741919  พี่ตุ๊กตาเมคอัพ      ยินดีต้อนรับทุกท่านครับ






วันอาทิตย์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2556

เตรียมตัวกันไปทัวร์(ดม) ชมเมืองเหนือ 2013

การเตรียมตัวไปเที่ยวกับทัวร์ (ดม)
      สวัสดีครับ เอาทริปไปเที่ยวเมืองเหนือมาให้ชมกันครับ แต่ก่อนอื่นขอคุยกันเรื่องทัวร์ (ดม) ก่อนนะครับ ตั้งตามความคิดผมเอง หลังจากไปเที่ยวมาหลายๆ แบบ หลายๆ ครั้ง
      ลักษณะของทัวร์ (ดม)
      - เป็นทัวร์ที่มีลูกทัวร์จำนวนมาก เช่น 3-4 คันรอบัส ไปกันเป็นคณะใหญ่
      - เป็นทัวร์ราคาประหยัด ประเภทว่านับวันเที่ยวมาหารค่าทัวร์แล้วถูกกว่าค่าที่พักซะอีก
      - มีตารางทัวร์แน่นเอี๊ยด 07.00 น. กินข้าว 08.00 น. ไปเที่ยว A   09.30 น. เที่ยว B ฯลฯ จากเช้าจนมื้อค่ำเลย (นี้แหละครับที่ทำให้ต้องเรียกว่าทัวร์ดม เพราะเดินลงไปชม (ดม) บรรยากาศแป๊ปเดียวก็วิ่งขึ้นรถไปที่ใหม่แล้ว 5555)  
      - แต่พี่พบข้อดีอีกอย่างกับทัวร์ที่ผมไป คือ ในหนึ่งวันของการเดินทางจะมีอาหารมื้อใหญ่ๆ ไว้กินแบบราชา หรูๆ หนึ่งมื้อ ซึ่งนับเป็นอะไรที่ผมว่าคุ้มนะ
      ถ้า พี่ๆ น้องๆ ไปกับทัวร์ประเภทนี้ก็ต้องทำใจหน่อยนะครับ เพราะข้อสำคัญเค้าเน้นราคาประหยัด จำนวนคนเลยมาก เวลาลงรถขึ้นรถก็ปาไปครึ่งชั่วโมงแล้ว บางครั้งตารางทัวร์อาจมีการเปลี่ยนแปลงเนื่องจากสาเหตุหลายๆ อย่าง เช่น เที่ยวที่แรกๆ นานไป ที่สุดท้ายเลยต้องยกเลิกไป ไม่งั้นก็จะกินเวลาตารางอาหารเย็นซึ่งทุกคนถึงเวลานั้นคงเลือกอาหารเย็นมากกว่าที่จะเที่ยวต่อครับ
     เตรียมตัวไปทัวร์ (ดม) ชมเมืองเหนือ
     - เตรียมตัวครับ คือ เตรียมร่างกายให้พร้อม เพราะการไปทัวร์ส่วนมากเน้นการเดินเที่ยวซะเป็นส่วนใหญ่ บางจังหวะอาจมีลงรถ ลงเรือบ้าง ก็ต้องพร้อมสำหรับการเดินทางไม่ป่วยไข้ ไม่งั้นไม่สนุกแน่ๆ ครับ ใครมียาประจำตัวต่างๆ ก็เตรียมไปครับ ยาดม ยาหม่อง ยาแก้ท้องเสีย ยาแก้เมารถ ที่จริงพนักงานเค้าก็เตรียมไว้ให้แล้ว แต่เพื่อความสะดวกและรวดเร็วพกไว้ก็ดีครับ ไม่ต้องเสียเวลาขอ เผื่อจะใช้มาดันหาพนักงานไม่เจอก็มีครับ เพราะคนเค้าอาจไม่มากพอจะดูแลเราได้ตลอดเวลา และบางครั้งพกไว้เผื่อแผ่เพื่อนร่วมทางอาจได้เพื่อนใหม่ก็ได้ครับ
    - เตรียมใจครับ  คือ การไปในคนหมู่มากก็ต้องทำใจครับ ร้อยพ่อพันแม่ มาอยู่ด้วยกัน ถ้าสำนักงานเดียวกันก็พอจะรู้ใจกันครับ แต่ถ้าเป็นทัวร์ที่ไม่ใช่คนที่ทำงานเดียวกันก็ต้องท่องเอาไว้ว่า อดทนครับ อีกอย่างมองโลกในแง่ดีไว้ก่อนครับ บางทีคนช้าก็มี บางคนก็เร็วไป บางคนขี้บ่น บางคนนอนกรน (ในรถทัวร์ครับ) ถ้าไปเป็นคู่ก็จะได้นอนในห้องเดียวกัน แต่ถ้าไปเดี่ยวอาจมีเพื่อนร่วมห้องที่ไม่รู้จักก็คงต้องสร้างสัมพันธไมตรีกันไว้ครับ เพราะเค้าจะเป็นคู่หู (Buddy) ของเราตลอดทั้งทัวร์
   - เตรียมความรู้ครับ อาจจะถามคนที่เคยไป หรือค้นหาทางเน็ท คร่าวๆ ก็ได้ครับ ว่าที่เราไปมีอะไรน่าสนใจ มีอะไรที่ต้องระวังไหม เช่น หลอกขายของให้นักท่องเที่ยว  การล้วงกระเป๋า หรือที่ๆ ไม่ควรไป สำคัญขนบธรรมเนียมของท้องถิ่นนั้นๆ ครับ บางทีอาจพิมพ์มีแผ่นที่คร่าวๆ ไว้ก็ได้ อีกที่หนึ่งที่จะหาแผนที่ฟรีได้ครับ ตามเคาร์เตอร์โรงแรมที่เราไปพักครับ อีกที่คือไกด์ครับ ส่วนมากบริษัทที่ดีๆ จะมีไกด์เก่งๆ แนะนำเรื่องต่างๆ ของแต่ละสถานที่ให้เราครับ แต่เตรียมไว้ก่อนก็ดี เพราะถ้าไปเจอไกด์มือใหม่หัดขับเค้าก็ไม่ได้รู้มากไปกว่าเราครับ
   - เตรียมเสื้อผ้าของใช้ส่วนตัว ดูพยากรณ์อากาศเลยครับ เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีเค้าใช้ได้ พยากรณ์ได้ใกล้เคียงอยู่พลาดน้อยมาก  แล้วเตรียมชุดไปตามอากาศช่วงนั้นเลยครับ อย่างช่วงนี้เดือน กพ 2013 เมืองเหนือออกร้อนครับ มีฝน 20 เปอร์เซ็นต์ ก็เตรียมไปเลยครับ ครีมกันแดด ร่ม เสื้อผ้าที่ใส่สบาย กางเกงสั้นแต่แบบสุภาพ รองเท้าผ้าใบ แล้วสำหรับคนเหงื่อเยอะก็ผ้าเช็ดหน้าอีกผืนแบบเล่นกีฬาอ่ะครับ พาดคอไปเลย อีกส่วนหนึ่งที่ผม่จะให้พกไปด้วยเผื่อคนชอบเล่นน้ำ ก็ชุดว่ายน้ำและชุดกีฬาขาสั้นครับ เพราะที่พักบางทีสระว่ายน้ำน่าเล่นมาก กว่าจะไปหาซื้อชุดก็หมดอารมณ์เล่นกันพอดี บางครั้งเวลากลับที่พักเร็ว เหลือเวลามากแช่น้ำรอเวลาก็ทำให้ผ่อนคลายไปอีกแบบ  บางที่มีฟิตเนตเผื่อบางคนอาจไปออกกำลังเล็กน้อยแล้วแต่ชอบครับ แต่เหลือแรงไว้เที่ยวด้วยนะครับ ของใช้ส่วนตัวก็แล้วแต่ครับ อย่างขอผู้หญิงก็เยอะหน่อย ครีมโน้น ครีมนี้เป็นต้น
- เตรียมกล้องไปเที่ยวกัน ครับ เป็นช่างภาพก็คงต้องเรื่องกล้อง แต่คราวนี้เป็นการไปเที่ยวครับ แต่ไปเที่ยวเราก็อยากได้ภาพสวยหน่อย งวดนี้ผมก็เลยพกไปแบบนี้ ครับ (ผมกับแฟนใช้กล้องคนละตัว บางที่ผมก็ใช้คนเดียวสองตัวครับ) การถ่ายภาพในลักษณะท่องเที่ยวก็ต้องทำใจอย่างครับว่าในภาพอาจมีคนมาร่วมในภาพด้วยจำนวนมากถ้าคุณถ่ายภาพในลักษณะไวด์ (ภาพมุมกว้าง)
       - d7000 ตัวที่ 1  ใส่เลนส์ nikon   17-55 mm F2.8
      - d7000 ตัวที่ 2   ใส่เลนส์ nikon   85G          F1.8 
      โดยไม่เน้นการถอดเปลี่ยนเลนส์ครับ เพราะทัวร์ (ดม) เวลาน้อยครับ เน้นถ่ายได้เลยในสภาพแสงธรรมชาติ ส่วนมากใช้โหมด A ครับ บางครั้งก็ M บ้าง
      - แฟลช SB910 1 ตัว ได้ถ่ายเลี้ยงงานกลางคืนครับ ส่วนการเดินเที่ยวไม่เน้นยิงแฟลชมากเท่าไหร่ เพราะเวลาบางที่เค้าห้ามถ่ายภาพ ถ้าเห็นแสงแฟลชก็จะเป็นเรื่องครับ เค้าอาจหาว่าเราถ่ายไปในที่เค้าห้ามถ่ายได้ เลยเก็บไว้ถ่ายงานเลี้ยงอย่างเดียว ไม่หนักด้วย
     - อุปกรณ์เสริมต่างๆ เช่น ขาตั้งกล้อง แฟลชไวเลสแยก อุปกรณ์ทำความสะอาดกล้อง ถ่านสำรอง เมมโมรี่สำรอง (เต็มกระตั้ก เพราะราคาไม่สูงมากครับ)
    - ใส่กระเป๋าสะพายของ nikon ที่ให้มากับ D7000 แบ่งกันอยู่ได้ ครับ
      เที่ยวหน้ามาเราก็จะเริ่มออกทัวร์แล้วนะครับ  ไปครั้งนี้ก็มีเทคนิคการถ่ายภาพสวยๆ มาฝากด้วยติดตามกันนะครับ

  

วันเสาร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2556

วิธีเลือกกล้องคอมแพ็คให้ถูกใจ

วิธีเลือกกล้องคอมแพ็ค เป็นกล้องที่มือใหม่ทั้งหลายหมายจะสัมผัสก่อนเป็นกล้องตัวแรกๆ เลยว่าได้ ผมว่ากว่า 90% ของผู้ที่เล่นกล้อง เริ่มจากกล้องประเภทนี้ เนื่องจากอันดับแรกเลยคือ ราคาถูก(คงเป็นประเด็นหลักในการเลือกของมือใหม่) แต่คราวนี้เรามาดูกันดีกว่าครับว่า เป็นมือใหม่ แต่เลือกกล้องให้คุ้มค่ากับราคาและความต้องการของเราทำกันอย่างไร
องค์ประกอบในการเลือกกล้อง เรียงตามลำดับนะครับ ไม่ต้องดูทุกข้อก็ได้เพราะถ้าคุณเอาทุกข้อมารวมกันอาจทำให้ข้อแรกบานปลาย หุหุหุ แต่ถ้าข้อแรกไม่ใช่ปัญหาอ่านข้อต่อไปเลยคร้าบ
1. งบประมาณ แนะนำว่าให้ดูงบประมาณที่คุณมีว่าเท่าไหร่ เช่น มี 10,000 บาท ถึง 15,000 บาท ก็แนะนำว่าไปเอาโบชัวร์กล้องที่มีราคาประมาณดังกล่าวมาดูครับ เดินไปตามร้านในห้างดังๆ ต่างๆ มีกันเกือบทุกห้างครับ ไม่ว่าจะเป็นเดอะมอล บิ๊กซี โลตัส และร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าประจำจังหวัดของท่าน  ซึ่งข้องบประมาณนี้เป็นปัจจัยหลักเลยครับ ถ้าคุณดันไปหยิบโบชัวร์ที่ราคาแพงเกินงบ กล้องเดียวกันแต่ราคาสูงกว่ากันเท่าตัวความสามารถกล้องต่างกันแน่ครับไม่งั้นเค้าไม่ทำราคาแพงกว่าหรอก ข้อนี้ต้องทำใจแต่ต้นครับ เงินมีเท่านี้ก็ซื้อความสามารถได้ในราคาประมาณนั้น 

2. การใช้งาน ฟังชั่นต่างๆ อันนี้มีมากมายครับ ต้องถามตัวเองก่อนครับว่าต้องการอะไรบ้างเพราะกล้องรุ่นใหม่ๆ ก็จะมีฟังชั่นการใช้งานต่างๆ  เช่น
    -  ถ่ายภาพนิ่งได้(เป็นเรื่องปกติของทุก ของกล้องทุกตัวอยู่แล้ว บอกทำไมเนี่ย)
    -  ถ่ายวีดีโอ  ถ่ายใต้น้ำได้
    -  มีกันสั่น(มีหลายระดับหลายแบบต้องทดลองดูครับ)
    -  กันฝุ่น กันน้ำ(แต่ไม่ได้ใช้ดำน้ำนะคร้าบแค่กันน้ำเข้าเฉยๆ) สามารถถ่ายได้ในอุณหภูมิต่ำๆ (เวลาไปเที่ยวต่างประเทศที่อากาศหนาวมากๆ กล้องบางตัวกลไกติดขัดครับ) 
   - ถ่ายกลางคืนได้ดีกว่ากล้องทั่วไป (แต่ส่วนมาก้องใช้ขาตั้งกล้องช่วยทั้งนั้นครับ)
   -  มีรีโมทช่วยถ่ายภาพ (อันนี้น่าสนใจเวลาไปเที่ยวแล้วไม่มีเพื่อนถ่ายให้ ต้องใช้ขาตั้งประกอบอีกครับ แล้วระวังพวกวิ่งราวเอาไปใช้แทนนะคร้าบในต่างประเทศโดนกันบ่อยๆ ถ้ากล้องคุณราคาแพง ผมแนะนำหาเพื่อนรู้ใจไปถ่ายให้ดีกว่า 555 )
  - อัพรูปขึ้นเน็ตได้เลย (อัพขึ้น facebook เหมือนมือถือนะแหล่ะครับ แต่ภาพที่ได้จะสวยกว่าเพราะเป็นกล้องถ่ายภาพโดยเฉพาะมากกว่ามือถือครับ)
    และอื่นๆ อีกมากมายสาธยายไม่หมด ลองไปเอาโบว์ชัวร์จากข้อ 1 มาวางเรียงกันดูนะครับ แล้วเทียบข้อมูลกันไปเลย หรือได้รุ่นที่ต้องการแล้วอาจเข้าไปดูวิจารณ์กล้องรุ่นนั้นๆ ในเน็ตก่อนก็ได้ครับ จากนั้นก็ลุยโลด
3. ความละเอียดของภาพ อันนี้เป็นอีกอันหนึ่งที่บางคนดูเป็นสิ่งแรก แต่ในส่วนตัวผมเองว่าเป็นการเข้าใจผิดเป็นอย่างยิ่ง เพราะกล้องคอมแพ็คส่วนมากจะถ่ายภาพทั่วไป ไม่ได้เน้นความละเอียดหรือพิถีพิถันกับภาพมากนัก  แล้วภาพส่วนมากปัจจุุบันก็จะเอามาเก็บไว้ในดิสก์ซะมากกว่า (คนอัดภาพผมว่าน้อยลงนะ) และส่วนใหญ่อาจอัพโชว์ทางเน็ท เช่น เฟสบุกส์เป็นต้น ทำให้ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็น 20 ล้านพิกเซล อะไรขนาดนั้น
ภาพขนาด 4x6 นิ้ว จะใช้รายละเอียดในการอัดภาพ 1200x1600 pixel หรือเท่ากับ 1920000 พิกเซล ประมาณ 2 ล้านพิกเซลเท่านั้น ภาพก็ไม่แตกแล้วครับ (คิดที่ความละเอียด 300dpi หรือ  300 พิกเซลต่อนิ้ว)
ภาพขนาด 5x7 นิ้ว จะใช้รายละเอียดในการอัดภาพ 1500x2100 pixel หรือเท่ากับ 3150000 พิกเซล ประมาณ 3 ล้านพิกเซลเท่านั้น

คราวนี้ท่านอยากได้ภาพที่ไปพิมพ์เองหรือไปอัดที่ร้านอัดภาพโดยไม่แตกก็ไม่ยากครับ เอาความกว้างของรูปเป็นนิ้วคูณ 300  แล้วเอาความยาวของรูปเป็นนิ้วคูณ 300 ได้ตัวเลขมาสองตัวเอามาคูณกันก็จะได้พิกเซลที่ทำให้รูปคุณไม่แตกโดยประมาณอาจซื้อกล้องที่มีพิกเซลมากกว่านั้นสัก 20 % ก็เหลือๆ แล้วครับ สำหรับการพิมพ์ภาพได้อย่างสวยงาม
4.สวยงามของภาพ  อันนี้สำคัญครับ ผมถึงบอกว่าภาพที่มีความละเอียดของภาพมากๆ อาจสู้ภาพที่มีความละเอียดในระดับปานกลางไม่ได้ก็มีครับ ซึ่งตรงนี้แหล่ะทำให้กล้องนั้นราคาแพง ส่วนประกอบที่ทำให้ภาพสวยงามหลักๆ เลยก็คือเลนส์ครับ รองลงไปคือเซนเซอร์ครับ
         - เรื่องเลนส์เนี่ยเป็นตัวหลักครับเพราะกล้องคอมแพ็คของเราเปลี่ยนเลนส์ไม่ได้ครับ และส่วนมากจะให้เลนส์ที่เป็นลักษณะของเลนส์เทเลมาครับ โดยครอบคลุมตั้งแต่ช่วงไวด์ปลายๆ ไปจนถึงเทเลต้นๆ ข้อเสียที่ผมพบคือถ้าเลนส์มีการซูมมากๆ ก็จะทำให้ความคมลดน้อยลงไปครับ ฉะนั้นต้องทำใจกับข้อนี้ครับ แต่ก็ไม่ทำออกมาจนเบลอรับไม่ได้ครับ เพียงแต่ขอบของภาพจะเบลอๆครับ เลนส์ดังๆ เช่น Carl Ziess, Leica 
        - เรื่องเซนเซอร์อันนี้ความเห็นส่วนตัวคือขนาดใหญ่เท่าไหร่ยิ่งดีครับ เพราะทำให้คุณภาพของภาพที่ได้ดีกว่าแน่นอนครับ ส่วนเทคโนโลยีต่างๆ ก็ดูเอานะครับ แต่ละค่ายเค้าไม่เหมือนกัน
5. เมมโมรี่การ์ด ถ้าคุณเป็นคนที่เดินทางบ่อยถ่ายภาพมากๆ ไม่มีเวลาไรซ์ภาพเก็บไว้ ข้อนี้ก็สำคัญครับ เพราะเมมโมรี่มีหลายประเภทแต่ตอนนี้ถ้าถูกที่สุดและประสิทธิภาพใช้ได้ก็ SD การ์ดครับ ราคาไม่แพง แนะนำใช้คลาส 10 ไปเลย ครับ เพราะไม่ค่อยเกิดความร้อนเมื่อถ่ายวีดีโอ และยังทำให้เก็บภาพช็อทที่ถ่ายต่อเนื่องไม่ติดขัดครับ
6. ทดสอบถ่ายและใช้งานพร้อมทั้งดูบริการหลังการขาย  อันนี้ไม่ยากเลยครับ ผมส่วนมากพก SD การ์ดไปด้วยอันหนึ่งไปร้านที่มีกล้องรุ่นและยี่ห้อที่เราต้องการครับ  แจ้งพนักงานว่าขอลองแต่ขออัดภาพใส่เมมโมรี่ของเรานะ ภาพแรกก็ถ่ายป้ายหรือราคากล้องในร้านนั้นละครับ จะได้จำว่ากล้องรุ่นไหน ร้านไหน ราคาเท่าไหร่ ที่เหลือก็ทดสอบเลยครับ  ถ่ายภาพนิ่งซูมใกล้สุดบ้าง ไกลสุดบ้าง ยืนที่เดิมนะครับจะได้เห็นความแตกต่าง ถ่ายวีดีโอบ้าง และขอคำแนะนำจากพนักงานครับ (ส่วนมากร้านที่ดีจะมีพนักงานที่เก่งๆ ในการอธิบายข้อดีของสินค้าให้ลูกค้าฟังคร้าบ คงไม่อธิบายข้อเสียให้เราฟังเป็นแน่ ไม่งั้นสงสัยจะโดนเชิญออกไปซะก่อน 5555) และถามเรื่องการรับประกันสินค้า การเคลมสินค้า สำคัญใช้เวลานานไหม มีตัวสำรองให้ใช้ไหม (บางร้านมีให้นะครับ) ผมเคยซื้อกล้องคอมแพ็คมาซื้อมาได้เดือนเดียวที่ปิดม่านชัตเตอร์ค้าง ส่งซ้อมไปเกือบ 3 เดือน เซ็งเป็ดครับ 5555 อ้อลืมบอกไปเมื่อเราได้รูปภาพต่างๆ จากกล้องต่างๆ ที่เราหมายตาแล้ว ให้กลับบ้านไปเปิดดูที่บ้านว่าชอบตัวไหน ภาพไหน แล้วที่เหลือก็ตามใจท่านแล้วครับ....

  


วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

กล้องมีแบบไหนบ้าง อันไหนเหมาะกับเรา

*** เป็นความเห็นส่วนตัวของเจ้าของบล็อกครับ ผมเขียนตามประสบการณ์และความเห็นส่วนตัว ****
ครับ เป็นปัญหาโลกแตกอีกอย่างหนึ่ง จะมีถามประจำว่า กล้องอันไหนน่าซื้อ ซื้อแล้วคุ้มค่าที่สุด ที่สำคัญถูกที่สุด อันนี้คงบอกไม่ได้หรอกครับ ผมว่าคงต้องดูการใช้งาน และ ความพึงพอใจจากภาพที่คุณถ่ายมา เป็นหลักครับ  บทความนี้เขียน ก.พ. 2013 ซึ่งต่อไปอาจมีการเปลี่ยนเทรนด์ใหม่ก็คงต้องดูกันไปนะครับ
     กล้องปัจจุบันที่ใช้กันก็เป็นกล้องดิจิตอลเก็บข้อมูลในลักษณะของไฟล์รูปภาพครับ โดยแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ
     กล้องคอมแพ็ค เป็นกล้องขนาดเล็กเน้นระบบอัตโนมัติเกือบทั้งหมด เพราะถึงจะมีมาให้หลายโหมดให้ปรับใช้ผมก็ไม่เห็นใครจะไปตั้งโหมดอื่นเลยส่วนมากก็ Auto ทั้งนั้น บางทีผมอยากเรียกว่ากล้องออโต้ด้วยซ้ำ 5555  กล้องเหมาะสำหรับมือใหม่หัดถ่ายภาพเป็นอย่างยิ่ง  ภาพส่วนมากจะเป็นภาพที่ออกมาชัดทั้งหมดคือ ไม่มีการชัดเบลอหน้า เบลอหลัง เหมือนกล้องอีกประเถท เนื่องจากติดความสามารถของเลนส์เองและความสามารถในการใช้งานของผู้ใช้ด้วย แต่คนใช้เก่งก็มีนะ คือปรับโหมดเป็นรู้วิธีการทำภาพเบลอหน้า เบลอหลัีง (ภาษากล้องเขาเรียกชัดลึก ชัดตื้น)ครับ

ตัวอย่างกล้องคอมแพ็ก nikon รุ่น coolpix s9400
ตัวอย่างกล้องคอมแพ็ก panasonic รุ่น lumix DMC-FT4  รุ่นนี้ทรหด ถ่ายใต้น้ำได้ด้วย

          ข้อดีของกล้องคอมแพ็ค
           -  พกพาง่าย เพราะส่วนมาก เน้นว่าส่วนมากครับ ขนาดจะเล็กมาก บางรุ่นเล็กจนวางไว้ฝามือกำแล้วหายไปในมือเลย
           -  ถ่ายภาพได้เลยเพราะระบบเน้นการทำงานแบบอัตโนมัติเป็นหลัก
           -  การดูแลรักษาสะดวกกว่าเพราะไม่ได้ถอดเลนส์หรือเปลี่ยนเลนส์ ไม่ต้องห่วงเรื่องฝุ่นครับ ระวังแต่เรื่องน้ำและความชื้น เพราะทำให้ขึ้นราได้ กล้องบางรุ่นกันน้ำครับ แต่ก็ยังต้องระวังเรื่องความชื้นอยู่ดี
           -  ขนาดของไฟล์เล็ก บางรุ่นสามารถอัพขึ้นเน็ทจากกล้องได้เลยโดยใช้ wi-fi
           -   กล้องราคาไม่แพง ไม่ต้องซื้อเลนส์เพิ่ม
           -   คนถ่ายภาพไม่ต้องศึกษาวิธีการใช้มากครับ สอนแป็บเดียวก็เป็นแล้วครับ   
           ข้อเสียของกล้องคอมแพ็ค
           - คุณภาพของภาพหรือมิติของภาพจะดูแบนๆ ดูนานๆ แล้วไม่ศิลป์หรือว่าสวยครับ 
           -  การถ่ายภาพกลางคืน ส่วนมากจะมีปัญหาภาพเบลอเพราะกล้องจะปรับสปีดให้ต่ำ หรือมีน้อยส์เม็ดสีกระจายไปทั่ว  ต้องใช้ขาต้้งกล้องช่วย
           -  การถ่ายภาพกลางคืนยิงแฟลชบ่อย ถ่านหมดเร็วต้องมีสำรองไว้ครับ เพราะกล้องและแฟลชใช้ถ่านก้อนเดียวกัน  
           -  ไฟล์ส่วนมากเป็นไฟล์ jpeg ทำให้เวลามาปรับภาพถ้าถ่ายมืดหรือสว่างมากเกินไป ปรับได้ยาก กว่าไฟล์ของกล้อง DSLR ซึ่งสามารถถ่ายไฟล์ raw มาด้วยได้ 
 

    กล้อง DSLR  หรือกล้องมืออาชีพที่เปลี่ยนเลนส์ได้ single lens นั่นเอง ซึ่งปัจจุบันราคาก็ถูกลงมามากเหมาะสำหรับผู้จะขยับจากคอมแพ็ค หรือว่าเริ่มที่กล้องรุ่นนี้เลยก็ได้ครับ เพราะเดี๋ยวนี้กล้องมันเป็นไฟล์ดิจิตอลถ่ายแล้วไม่สวยก็ลบได้ครับ ไม่เหมือนกล้องฟิลม์สมัยก่อน แล้วนอกจากนัั้้นก็ยังมีการจัดคอร์สอบรมอยู่ทั่วไปครับ หรือสนใจติดต่อมาที่ผมก็ได้ ดูรายละเอียดได้ที่ www.taklongkorat.com (ขอแทรกโฆษณาหน่อย หุหุหุ)  กล้อง DSLR ต้องอาศัยความรู้ในการควบคุมกล้องพอสมควร หรือไปถึงขั้นเทพเลยก็ได้ แล้วแต่ว่าคุณอยากได้ภาพแบบไหน คุณสามารถสร้างสรรได้ตามความคิดของคุณเอง
ภาพตัวอย่างกล้อง DSLR nikon D700

ภาพตัวอย่างกล้อง DSLR nikon D4 (ปัจจุบัน 2013 เป็นกล้องที่เค้าเรียกว่าเทพของ FX ในยี่ห้อนี้)

                ข้อดีของกล้อง DSLR
              - แข็งแรง บึกบึน ทนทานสภาพอากาศกว่า เพราะขนาดใหญ่  ในรุ่นราคาสูงๆ มีการซีลกันฝุ่นกันน้ำไว้ด้วย
              -  ไฟล์ที่ได้มีความสวยงามสมกับความเป็นมืออาชีพ (ต้องถ่ายเป็นด้วยนะคร้าบ)
              -  มีเลนส์ให้เลือกใช้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเลนส์ฟิก เลนส์มาโคร เลนส์ซูม เลนส์ฟิสอาย เป็นต้น
              - ถ้าใช้งานแฟลชแยก จะทำให้ถ่ายภาพในที่มืดได้นานกว่าเพราะมีถ่านแฟลชแยกชุดกับตัวกล้อง และยิงแสงแฟลชได้ไกลกว่ากล้องคอมแพ็คมาก
              - ถ่ายภาพในที่แสงน้อยได้ดีกว่าคอมแพ็ค เร่ง iso ได้มากกว่าโดยน้อยส์ัไม่มากเท่า
              - ถ่ายไฟล์ raw ทำให้สามารถปรับแต่งภาพได้มากกว่า ไม่ว่ามืดไป ขาวไป สามารถแก้ไขได้หมด
               - มีอุปกรณ์เสริมมากมายที่ทำมาใ้ช้ด้วยเช่น สายลั่นชัตเตอร์  ไวเลสทริกเกอร์ ชุดไฟสตูดิโอ  
              - ใช้ทำมาหากินได้เลย ไม่ว่าจะถ่ายภาพติดบัตร ถ่ายภาพงานบุญงานบวช ถ่ายภาพงานแต่ง ถ่ายภาพขายทางสต็อกโฟโต้ ฯลฯ   เพราะคุณภาพของภาพใช้ได้อยู่แล้ว
                 ข้อเสียของกล้อง DSLR
              - ขนาดใหญ่ เทอะทะ ยิ่งใส่เลนส์ซูมไปแล้ว โอมายก็อต บาซุก้าดีๆ นี่เอง
              - ไฟล์ภาพมีขนาดใหญ่ ยิ่งไฟล์ raw จะมีขนาดใหญ่กว่าไฟล์ jpeg 2 เท่า ทำให้ต้องใช้เครื่องคอมพิวเตอร์สำหรับการเรนเดิลรูปที่มีความแรงพอควร
              -  การระวังรักษาต้องทะนุถนอมพอสมควร และเนื่องจากมีการถอดเลนส์เปลี่ยนได้จึงต้องมีการดูแลในทั้งส่วนของตัวกล้อง Body และส่วนของเลนส์ Lens แยกกัน 
              -  ราคาสูงทั้งตัวกล้องและส่วนของเลนส์ Lens ถ้าต้องการกล้องที่เีรียกว่ากล้องเทพ หรือเลนส์เทพ ก็ราคารวมกันประมาณ รถยนต์รุ่นท็อปๆ ได้ครับ แล้วเลนส์ก็มีหลายตัวอีกเรียกว่า เลือกกันเปรียบเทียบกันจนตาเหลือกไปข้าง
             -  คนถ่ายภาพต้องมีความรู้ในการใช้งานกล้องบ้าง หรือศึกษาอย่างจริงจังไปเลยครับ จึงจะได้ภาพที่สวยตามต้องการ 

**** กล้องอีกพวกที่ไม่ได้กล่าวไว้ผมเรียกว่า พวกกลายพันธ์(เหมือน X-man)ครับ คือพยายามจะเอาความสามารถของ DSLR มาไว้ในคอมแพ็ค ซึ่งก็เป็นแนวคิดที่ดี เพียงแต่ปัจจุบันเทคโนโลยีอาจยังพัฒนายังไม่ถึง ทำให้ได้เพียงบางส่วน ไม่ได้ทั้งหมด แต่ถ้าได้คงจะดีครับ ไม่ต้องแบกกล้องใหญ่ และเลนส์อีกเป็นกระตั๊กเพื่อไปถ่ายภาพ ใช้คอมแพ็คกลายพันธ์ตัวเดียว ถ่ายไวน์ได้ เทเลซูมได้ คุณภาพประมาณเลนส์ฟิก โอมายก็อต ตอนนี้ยังฝันกลางวันอยุ่ครับ คงต้องรออนาคต***

การซื้อกล้องปัจจุบันมีการประักันอยู่ 2 แบบครับคือ
             1. ปกร. (ประกันร้าน)
             2. ปกศ. (ประกันศูนย์)  ถ้ามีเงินก็แนะนำซื้อแบบนี้ชัวร์กว่าครับ แต่จะแพง ปกร. ประมาณ 20-30 เปอร์เซ็นต์

กล้องแบบไหนเหมาะกับคุณ
         อันนี้ก็ดูจากข้อดีข้อเสียของกล้องคอมแพ็คและ DSLR ด้านบนครับ
         ถ้าคุณเป็นประเภทขอให้ได้ภาพก็พอและไม่ค่อยสนใจการใช้กล้องสักเท่าไหร่ เอาความสบายเข้าว่าเคลื่อนไหวรวดเร็ว ก็เหมาะกับคอมแพ็คครับ
         ถ้าคุณเป็นประเภทขอให้ได้ภาพสวยๆ และอยากเรียนรู้เทคนิคการใช้กล้อง สามารถแบกกล้องและอุปกรณ์ไปไหว ก็แนะนำ DSLR ครับ
         ส่วนเรื่องยี่ห้อไหน รุ่นไหน ก็คงแล้วแต่ความชอบส่วนบุคคลและทุนทรัพย์กันละครับทีนี่ เพราะถ้าของดีส่วนมากก็ราคาสูงแลกกับเทคโนโลยีที่ทำให้เราได้ภาพที่สวยขึ้น  ส่วนที่ราคากลางๆ ก็ไม่ใช่ว่าไม่สวยนะครับ อันนี้คงต้องดูกันเอง อีกอย่างกล้องก็ออกใหม่มาเกือบทุกวัน เทคโนโลยีมันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ คงต้องให้ท่านพิจารณาเอาจากช่วงที่ซื้อกันเองครับ

 สำหรับบทความต่างๆ โดยทั่วๆไปสามารถใช้ได้กับกล้องทั้งแบบ DSLR และคอมแพ็คครับ เพียงแต่คอมแพ็คอาจไม่ครบทุกฟังก์ชั่นนะครับ ก็ประยุกต์ใช้เอากับที่มีอยู่ ถ้าไม่เข้าใจก็เมล์มาสอบถามได้ครับ  taklongkorat@gmail.com ยินดีตอบตามความสามารถที่มีครับ อาจช้าหน่อยขึ้นอยู่กับช่วงงานชุกหรือไม่นะครับผม



วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ทักทายปีใหม่ กพ 2556

ผ่านกันไปแล้วครับ ปีใหม่ 2556 กับการทำงานเก็บเกี่ยวประสบการณ์มาเพื่อนำเสนอ เพื่อนๆ โดยเริ่มปีใหม่นี้คงจะเริ่มด้วยเรื่องการท่องเที่ยวกับการถ่ายภาพซึ่งเป็นของคุ่กันครับ คนที่ซื้อกล้องมาถ่ายภาพมีอยู่หลายประเด็น เช่น มาถ่ายงาน มาถ่ายสาว มาถ่ายภาพต่างๆ แต่ที่แน่ๆ ก็คือภาพที่ตนเองไปเที่ยวครับ ก็มีประสบการณ์จากการเที่ยวมาเป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยพร้อมเทคนิคการเตรียมตัวไปเที่ยวครับรอติดตามอ่านกันนะครับ